ข่าวประชาสัมพันธ์
บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศ ร่วมลงนามกับกระทรวงสาธารณสุขในข้อตกลงการจัดซื้อจัดหา “ยาโมลนูพิราเวียร์” ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน เมื่อได้รับอนุมัติ
“ยาโมลนูพิราเวียร์” ปัจจุบัน อยู่ในระหว่างการประเมิน สำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาตัวในรูปแบบผู้ป่วยนอก ที่มีระดับความรุนแรงของโรคน้อยถึงปานกลาง และมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ปัจจัย อันส่งผลให้การดำเนินโรครุนแรงขึ้น
กรุงเทพฯ 25 พฤศจิกายน 2564 – บริษัท เอ็มเอสดี ประเทศไทย (บริษัทในเครือของ บริษัท เมอร์ค แอนด์ คัมปานี อินคอร์ปอเรท เมืองเคนิลเวิร์ธ มลรัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา) ประกาศร่วมลงนามกับกระทรวงสาธารณสุข ในข้อตกลงการจัดซื้อจัดหา“ยาโมลนูพิราเวียร์” ยาต้านไวรัสชนิดรับประทานที่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีระดับความรุนแรงของโรคน้อยถึงปานกลาง ที่เข้ารับการรักษาตัวในรูปแบบผู้ป่วยนอก
ดร. แมรี เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บริษัท เอ็มเอสดี ได้ทำวิจัยด้านโรคติดเชื้อมาอย่างยาวนาน และตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯ มุ่งมั่นในการค้นคว้าวิจัยและพัฒนายานวัตกรรม เพื่อต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาดที่ทั่วโลกยังคง เผชิญอยู่ในขณะนี้ พวกเราพยายามที่จะทำงานแข่งกับเวลาเพื่อให้ยาของเราสามารถไปถึงผู้ป่วยโรค โควิด-19 ที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีอาการของโรคในระดับน้อยหรือปานกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ปัจจัยอันส่งผลให้การดำเนินโรครุนแรงขึ้น เราทุกคนใน เอ็มเอสดี รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในประเทศ ในการต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาด การลงนามในสัญญาข้อตกลงนี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการทำงานร่วมกันของภาครัฐและบริษัทผู้ค้นคว้าวิจัยและผลิตยานวัตกรรม ในการร่วมกันจัดการกับวิกฤตโรคระบาดในประเทศไทย บริษัท เอ็มเอสดี จะยังมุ่งมั่นที่จะลงทุนในการศึกษาวิจัยและพัฒนายาและวัคซีนที่เป็นนวัตกรรมเพื่อต่อสู้กับโรคต่างๆ รวมถึงโรคอุบัติใหม่ในอนาคต”
ดร. แมรี กล่าวเสริม “ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการทำงานร่วมกันกับกรมการแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ประเทศไทยได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยทางคลินิก “MOVe-AHEAD Study” ซึ่งอยู่ระหว่างการทำการศึกษาในระยะที่ 3 ร่วมกับอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยมี 5 สถาบัน ในประเทศไทย เข้าร่วมการศึกษาดังกล่าว ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาโมลนูพิราเวียร์ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19”
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 สำนักงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์สาธารณสุข (MHRA) ของ สหราชอาณาจักรอนุมัติให้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นยาต้านไวรัสชนิดรับประทานตัวแรก ในสหราชอาณาจักร สำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีระดับความรุนแรงของโรคน้อยถึงปานกลาง และมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ปัจจัยอันส่งผลให้การดำเนินโรครุนแรงขึ้น โดยบริษัท เอ็มเอสดี ได้วิจัยและพัฒนายาโมลนูพิราเวียร์ ร่วมกับบริษัท ริดช์แบค ไบโอเทราปูติคส์
###
เกี่ยวกับโครงการศึกษาวิจัยทางคลินิกของยาโมลนูพิราเวียร์
การศึกษาวิจัยทางคลินิกยาโมลนูพิราเวียร์ MOVe-OUT (MK-4482-002) (NCT04575597) เป็นการศึกษาในระยะที่ 3 ในรูปแบบ multicenter, randomized, double-blind, placebo-controlled study โดยทำการวิจัยในกลุ่มผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีอาการของโรคในระดับน้อยหรือปานกลางและมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ปัจจัยอันส่งผลให้การดำเนินโรครุนแรงขึ้น (อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน) โดยทำการรักษาในรูปแบบผู้ป่วยนอก ทั้งนี้ ผู้ป่วยมีอาการน้อยกว่า 5 วันก่อนได้รับยา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของศึกษาเพื่อประเมินประสิทธิภาพของยาโมลนูพิราเวียร์เมื่อเทียบกับยาหลอก โดยประเมินจากเปอร์เซ็นต์ของอาสาสมัครที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และ/หรือ เสียชีวิต โดยทำการประเมินผลการรักษาภายใน 29 วัน หลังจากให้ยา
การศึกษาวิจัยทางคลินิกยาโมลนูพิราเวียร์ MOVe-AHEAD (MK-4482-013) (NCT04939428) เป็นการศึกษาในระยะที่ 3 ในรูปแบบ multicenter, randomized, double-blind, placebo-controlled study เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาโมลนูพิราเวียร์การป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในครัวเรือนในกลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 การศึกษาดังกล่าวมีอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการศึกษาราว 1,332 คน โดยได้รับการสุ่มเพื่อรับยาโมลนูพิราเวียร์ (ขนาด 800 มก.) หรือยาหลอกทุก 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 วัน โดยอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกันกับผู้ที่
ติดเชื้อโควิด-19 และมีอาการอย่างน้อยหนึ่งอาการ ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 วัน ทั้งนี้ อาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มแรกมามากกว่า 7 วัน ก่อนการลงทะเบียนเข้าร่วมการวิจัย หรือ เคยติดโรคโควิด-19 มาก่อน หรือแสดงอาการใดๆ ของโรคโควิด-19 จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการวิจัยดังกล่าว
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการศึกษาวิจัยทางคลินิกของยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งรวมถึงการศึกษาใน MOVe-OUT และ MOVe-AHEAD อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://msdcovidresearch.com/
เกี่ยวกับยาโมลนูพิราเวียร์
ยาโมลนูพิราเวียร์ ( Molnupiravir — MK-4482 / EIDD-2801) เป็นยาต้านไวรัสชนิดรับประทานในรูปแบบpotent ribonucleoside analog ที่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยทางคลินิก โมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการจําลองแบบของไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นอาร์เอ็นเอไวรัส ที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 โดยเมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ไวรัสจะจำลองแบบพันธุกรรมเพื่อเพิ่มจำนวนให้กระจายไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย โมลนูพิราเวียร์ออกฤทธิ์กับโครงสร้างของไวรัส ทำให้โครงสร้างผิดไปจากเดิม ไวรัสจึงไม่สามารถจำลองแบบพันธุกรรมและเพิ่มจำนวนได้ หากยาโมลนูพิราเวียร์ได้รับอนุมัติให้ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ขนาดยาที่แนะนำ คือ 800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ต่อหนึ่งคอร์สการรักษา
ยาโมลนูพิราเวียร์ ถูกคิดค้นขึ้นโดยบริษัท Drug Innovation Ventures at Emory; DRIVE ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่ไม่แสวงหาผลกำไรในเครือของมหาวิทยาลัยเอโมรี (Emory University) โดยบริษัทได้รับทุนในการทำวิจัยจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯและสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ ต่อมายาโมลนูพิราเวียร์จึงได้รับการพัฒนาต่อภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท เมอร์ค แอนด์ คัมปานี, อินคอร์ปอเรท (Merck & Co., Inc.) หรือเป็นที่รู้จักในนามของบริษัท เอ็มเอสดี ในประเทศอื่นๆนอกเหนือจากสหรัฐฯและแคนาดา และ บริษัท ริดช์แบ็ค ไบโอเทราปูติค (Ridgeback Biotherapeutics) บริษัท ริดช์แบ็คได้รับการค่าตอบแทนล่วงหน้าจากบริษัท เอ็มเอสดี และ มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินค่าตอบแทนเพิ่มเติมในกรณีที่ยาดังกล่าวบรรลุผลสำเร็จผ่านการวิจัยพัฒนา จนกระทั่งได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ผลกำไรจากการร่วมมือนี้ จะถูกแบ่งระหว่างพันธมิตรในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน โดยนับตั้งแต่บริษัท เอ็มเอสดี ได้รับสิทธิ์การดำเนินการจากบริษัท ริดช์แบ็ค เงินทุนทั้งหมดที่ใช้สำหรับการวิจัยและพัฒนาได้รับการสนับสนุนจากทั้งบริษัท เอ็มเอสดีและมูลนิธิ Wayne and Wendy Holman ของบริษัท ริดช์แบ็ค
เกี่ยวกับความมุ่งมั่นของบริษัท เอ็มเอสดี ในการเร่งเตรียมความพร้อมในการเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์ทั่วโลกเมื่อได้รับการอนุมัติ
บริษัท เอ็มเอสดี มุ่งมั่นที่จะให้ทุกประเทศสามารถเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์ได้อย่างทันท่วงที ผ่านแนวทางการจัดหาและการเข้าถึงที่ครอบคลุม ซึ่งประกอบไปด้วยการลงทุนบนความเสี่ยงในการผลิตยารักษานี้ในจำนวนหลายล้านคอร์ส การกำหนดราคายาโดยตระหนักถึงความสามารถของรัฐบาลแต่ละประเทศในการให้ความช่วยเหลือด้านการดูแลสุขภาพ การทำข้อตกลงการจัดซื้อจัดหากับภาครัฐ และการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์โดยสมัครใจแก่ผู้ผลิตยาสามัญและองค์กรจัดการสิทธิบัตรยาร่วม (MPP) เพื่อผลิตยาสามัญของยาโมลนูพิราเวียร์ สำหรับประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางตามการอนุมัติด้านกฎระเบียบในท้องถิ่น
เกี่ยวกับการความสามารถในการผลิต : ปัจจุบัน บริษัท เอ็มเอสดี กำลังผลิตยาโมลนูพิราเวียร์บนความเสี่ยง โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ได้ในจำนวน 10 ล้าน คอร์สการรักษา ภายในปีพ.ศ. 2564 และคาดว่าจะผลิตได้อย่างน้อย 20 ล้าน คอร์สการรักษา ในปี พ.ศ. 2565
เกี่ยวกับข้อตกลงในการจัดซื้อจัดหา : เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัท เอ็มเอสดี ได้ลงนามในข้อตกลงการจัดซื้อจัดจ้างกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการจัดหายาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 3.1 ล้านคอร์สการรักษาให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อได้รับการอนุมัติการใช้ในกรณีฉุกเฉินจากสำนักงานองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (US FDA) นอกจากนั้น บริษัท เอ็มเอสดี ยังได้ลงนามในข้อตกลงการจัดซื้อจัดหายาโมลนูพิราเวียร์ล่วงหน้ากับรัฐบาลทั่วโลกและยังอยู่ระหว่างการหารือกับรัฐบาลประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม ในส่วนของการกำหนดราคา บริษัทฯ วางแผนที่จะนำหลักการการกำหนดราคายาโดยอ้างอิงตามการจัดลำดับรายได้ของธนาคารโลก ที่ตระหนักถึงความสามารถของแต่ละประเทศในการจัดหาเงินทุนเพื่อตอบสนองต่อวิกฤติโรคระบาด
เกี่ยวกับการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์โดยสมัครใจ (Voluntary Licenses): ด้วยความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือให้ยาโมลนูพิราเวียร์สามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก บริษัท เอ็มเอสดี ได้ทำข้อตกลงในการออกใบอนุญาต ร่วมกับองค์กรจัดการสิทธิบัตรยาร่วม (Medicines Patent Pool – MPP) เพื่อให้การช่วยเหลือต่อการเข้าถึงยา สำหรับประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง (LMICs) ยิ่งไปกว่านั้น บริษัท เอ็มเอสดี ได้ทำข้อตกลงก่อนหน้านี้ในการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์โดยสมัครใจ (Voluntary Licensing หรือ VL) กับบริษัทผู้ผลิตยาสามัญรายใหญ่ในประเทศอินเดีย เพื่อเร่งเตรียมความพร้อมในการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ สำหรับประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางอื่นๆ (LMICs) จำนวนมากกว่า 100 ประเทศ เมื่อได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้ยาในกรณีฉุกเฉินจากหน่วยงานท้องถิ่น
บริษัท เอ็มเอสดี ยังคงมองหาความร่วมมือต่อไป เพื่อช่วยให้ยาโมลนูพิราเวียร์สามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก
เกี่ยวกับบริษัท เอ็มเอสดี
บริษัท เอ็มเอสดี (MSD) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนายาและวัคซีนที่เป็นนวัตกรรม โดยมุ่งมั่นทำงานเพื่อช่วยมนุษยชาติทั่วโลกต่อสู้กับความท้าทายด้านสุขภาพจากโรคร้ายต่างๆ เอ็มเอสดี ดำเนินธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่า 130 ปี โดยมีบริษัทแม่ซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นการทั่วไปในชื่อ เมอร์ค แอนด์ คัมปานี อินคอร์ปอเรท (Merck & Co., Inc.) หรือ เมอร์ค (Merck) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเคนิลเวิร์ธ มลรัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้ชื่อบริษัทว่า เมอร์ค เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนนาดาเท่านั้น ประเทศอื่นๆ จะรู้จักในชื่อบริษัท เอ็มเอสดี (MSD) รวมถึงในประเทศไทย ที่ เอ็มเอสดี (MSD) ทุกประเทศ เราให้ความสำคัญกับการค้นคว้าวิจัยในการยกระดับสุขภาพ ทำให้เราให้ความสำคัญกับผู้ป่วยและสุขภาพของประชากรทั่วโลก เราพยายามทำงานเพื่อเพิ่มการเข้าถึงระบบสาธารณสุขและบริการสุขภาพ ผ่านนโยบายสาธารณสุข ผ่านโครงการและความร่วมมือต่าง ๆ กับทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง ปัจจุบัน เอ็มเอสดี (MSD) ยังคงเป็นแนวหน้าในการค้นคว้าวิจัย เพื่อหาทางป้องกันโรคและรักษาโรคร้ายที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติและสัตว์เลี้ยงรวมถึงปศุสัตว์ ทั้งโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ อาทิ HIV, Ebola และ COVID-19 รวมถึงโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นทั้งในคนและสัตว์ เรามุ่งหวังที่จะเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ระดับโลกที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการวิจัยและพัฒนา ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดตามข่าวได้ที่ เว็บไซต์ของบริษัทฯ ที่ www.msd.com หรือ Twitter , LinkedIn และ YouTube .
เกี่ยวกับบริษัท เอ็มเอสดี ในประเทศไทย
ในประเทศไทย ยาของ เอ็มเอสดี ได้อยู่เคียงข้างและดูแลรักษาผู้ป่วยคนไทยมาเป็นเวลากว่า 72 ปี และจัดจำหน่ายครั้งแรกผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492
ต่อมาในปี พ.ศ. 2547 ได้จัดตั้งบริษัทในประเทศไทย ในชื่อ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีการจัดการและมีโครงสร้างการดำเนินธุรกิจใหม่ ทำให้บริษัทฯ สามารถนำผลิตภัณฑ์ของ เอ็มเอสดี มาสู่ประเทศไทยเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรคด้วยยาที่เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ในการรักษาโรคให้ผู้ป่วยและช่วยให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาด้วยยาที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ รวมถึงทางเลือกในการเข้าถึงวัคซีนต่างๆ เพื่อป้องกันโรค โดยสาขาที่เรามีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ การรักษาโรคมะเร็ง การป้องกันโรคต่างๆ รวมถึงป้องกันโรคมะเร็งด้วยวัคซีน โรคเบาหวาน และโรคติดเชื้อในผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล บริษัท เอ็มเอสดี มุ่งมั่นที่จะช่วยพัฒนาสุขภาพที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ www.msd-thailand.com หรือ www.facebook.com/MSDinTH
###